คนวิ่งหนัง (Checker) อาชีพที่เลือนหายไปพร้อมยุคทองโรงภาพยนตร์ไทย

 คนวิ่งหนัง (Checker) อาชีพที่เลือนหายไปพร้อมยุคทองโรงภาพยนตร์ไทย

ก่อนที่จะมีโรงมัลติเพล็กซ์ตามห้างสรรพสินค้าเหมือนปัจจุบัน ชีวิตของคนไทยในช่วงทศวรรษ 2500–2510 (ค.ศ. 1960s) ผูกพันกับ โรงหนังชั้นหนึ่งและชั้นสอง ที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ โรงหนังเหล่านี้ไม่ได้ฉายพร้อมกันหมด เพราะฟิล์มภาพยนตร์มีจำนวนจำกัด และยังไม่มีระบบส่งแบบดิจิทัลเหมือนยุคใหม่ เกิดเป็นอาชีพเฉพาะที่เรียกว่า “คนวิ่งหนัง” หรือ Checker ผู้ทำหน้าที่ส่งต่อฟิล์มจากโรงหนึ่งไปยังอีกโรงหนึ่ง เพื่อให้คนดูทั่วเมืองได้สัมผัสหนังดังอย่างทันท่วงที


จุดกำเนิดของอาชีพคนวิ่งหนัง

ช่วงประมาณ พ.ศ. 2510 เมื่อธุรกิจภาพยนตร์เติบโตอย่างมากในประเทศไทย โรงหนังชั้นหนึ่ง เช่น ศาลาเฉลิมไทย เฉลิมกรุง หรือโรงใหญ่ย่านสยาม จะได้สิทธิ์ฉายก่อน ต่อมาโรงหนังชั้นสองในชุมชน เช่น โรงหนังย่านบางกะปิ บางรัก หรือฝั่งธนฯ จึงต้องรอฟิล์มชุดเดียวกันมาฉายต่อ

ปัญหาคือ ฟิล์ม 35 มม. แต่ละเรื่องมีจำนวนไม่กี่ก๊อบปี้ ขณะที่ความต้องการฉายมีมาก บริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์จึงแก้ปัญหาด้วยการว่าจ้าง “คนวิ่งหนัง” เพื่อขนส่งฟิล์มหมุนเวียนระหว่างโรงตามตารางเวลาที่วางไว้


ภารกิจและชีวิตประจำวัน

คนวิ่งหนังส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ รวมกลุ่มกันราว 10–20 คน มีหัวหน้ากลุ่มคอยจัดคิวติดต่อกับผู้จัดจำหน่ายและโรงหนัง ทุกคนมีมอเตอร์ไซค์คู่ใจ และรู้จักเส้นทางลัดในกรุงเทพอย่างแม่นยำ เพราะเวลาคือหัวใจสำคัญ



หากฟิล์มส่งไม่ทัน โรงที่รอฉายจะเกิดเหตุการณ์ “จอขาว” หรือไม่มีหนังให้ฉาย สร้างความเสียหายทั้งรายได้และชื่อเสียง 


ความสัมพันธ์กับตำรวจจราจรจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพราะการขี่รถเร็ว ฝ่าไฟแดง หรือย้อนศรเพื่อแข่งกับเวลา มักทำให้พวกเขาถูกเรียกตรวจอยู่เสมอ 


เครื่องหมายของวิชาชีพ

อุปกรณ์คู่กายของคนวิ่งหนังคือ กระเป๋าหนังสำหรับใส่ฟิล์ม 35 มม. ที่ภายในบรรจุกล่องเหล็กวงกลมซึ่งมีม้วนฟิล์มหนักหลายกิโลกรัม เด็ก ๆ ที่คุ้นเคยกับหนังกลางแปลงในต่างจังหวัดก็มักไปยืนมองกระเป๋าเหล่านี้เพื่อแอบส่องว่า คืนนี้จะได้ดูหนังเรื่องใด


ทุกครั้งที่คนวิ่งหนังหิ้วกระเป๋าเดินเข้าโรง ผู้ชมต่างรู้สึกตื่นเต้น เพราะนั่นหมายถึงการมาถึงของโปรแกรมใหม่ที่ทุกคนรอคอย


เกร็ดน่าสนใจ

อาชีพนี้ไม่เพียงมีในกรุงเทพฯ แต่ยังขยายไปตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา โดยมี “สายหนัง” ใช้รถยนต์วิ่งส่งฟิล์มต่อระหว่างจังหวัด 


บางครั้งฟิล์มที่เพิ่งฉายในโรงหนึ่งก็ต้องรีบเก็บส่งต่อทันทีโดยแทบไม่หยุดพัก ทำให้การวิ่งหนังเป็นงานที่ทั้งเสี่ยง อันตราย และกดดันสูง 


กระเป๋าหนังใส่ฟิล์มที่เคยเป็นของใช้ประจำวันของอาชีพนี้ ปัจจุบันกลายเป็นของสะสมหายากในหมู่นักเล่นของเก่า 


“คนวิ่งหนัง” คือหนึ่งในอาชีพที่สะท้อนบรรยากาศความรุ่งเรืองของโรงภาพยนตร์ไทยในยุคฟิล์ม 35 มม. พวกเขาคือผู้แบกความต่อเนื่องของเรื่องราวบนจอเงินเอาไว้บนบ่าและท้ายรถมอเตอร์ไซค์ แม้วันนี้ยุคดิจิทัลจะทำให้หน้าที่นี้เลือนหายไปแล้ว แต่เรื่องราวของคนวิ่งหนังก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่เคยสัมผัส และกลายเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมการดูหนังของสังคมไทย


เพจ: เจาะเวลาหาอดีต

ความคิดเห็น